Thaiteenline-logo
home about law teens article hotline contact
 
     
 

ตอนที่ 13 พี่ฮอทไลน์ไปออกค่ายชนบทค่ะ

ตอนที่ 13

พี่ฮอทไลน์ไปออกค่ายชนบทค่ะ

 

                "ปู๊น…ปู๊น…ฉึกฉัก…ฉึกฉัก…เสียงนี้น้องๆ คงจะคุ้นกันดีนั่นคือเสียงรถไฟใช่ไหมคะ มาวันนี้พี่ฮอทไลน์จะนำน้องๆ ขึ้นรถไฟไปค่ายค่ะ คือ พี่ฮอทไลน์ไปออกค่ายศึกษาชนบทค่ะ"

               

ค่ายชนบทนี้เราไปศึกษาที่จังหวัดขอนแก่น โดยพี่และเพื่อนๆ หลายๆ คนเข้าร่วมค่ายครั้งนี้ วันนั้นเป็นวันเสาร์ พี่ฮอทไลน์ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อนั่งรถไปขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง นั่งรถไฟกันมานานจนถึง อ.พล จังหวัดขอนแก่น น้องๆ เคยไปเที่ยวจังหวัดขอนแก่นกันไหมคะ พี่ว่าบางคนจังหวัดขอนแก่นอาจเป็นบ้านเกิดที่แสนคุ้นเคยเลยกระมัง แต่สำหรับพี่ฮอทไลน์เพิ่งเคยไปครั้งแรกค่ะ 

 

                เรามาเล่าถึงการไปค่ายต่อดีกว่า พอไปถึงเมืองพลแต่ละคนเฮฮากันใหญ่ ซื้อของกินกันมากมาย จนหัวหน้าค่ายต้องเข้ามามองให้สำรวมเอาไว้ เพราะพวกเราตั้งใจจะไปอยู่แบบชาวชนบท ไม่นำสภาพเมืองกรุงติดไปเลยนะคะ จากนั้นก็นั่งรถอีแต๋น ตอนแล่นอยู่ในเมืองพี่ฮอทไลน์คิดว่าคงจะไปไม่ถึงกระมัง เพราะแล่นช้ามาก เวลาแล่นก็มีเสียงดัง ตึก…ตึก…ตึก…แต่พอออกนอกตัวเมืองก็แล่นเร็วค่ะ แล่นไปไกลประมาณ 20 กว่ากิโลเมตรก็ถึงหมู่บ้าน ทางเข้าหมู่บ้านจะเป็นดินแดงปนทรายมีน้ำเจิ่งนองไปทั่ว (เพราะก่อนที่จะมาถึงได้ฝนตกลงมา) อากาศรอบตัวเย็นสบาย มองเห็นขอบฟ้า ทุ่งนาอยู่รอบๆ ทำให้นึกเปรียบเทียบกับสภาพกรุงเทพฯ ที่แออัด ควันโขมง เสียงอึกทึกครึกโครม พี่ฮอทไลน์ว่าที่นี่ดีกว่ามากทีเดียว

 

                เราเข้ามาถึงหมู่บ้านก็เย็นแล้ว หมู่บ้านที่ไปนี้ชื่อ หมู่บ้านหนองแก ค่ะ ผู้ใหญ่บ้านพาพวกเราแยกไปอยู่บ้านละ 2 คน พวกที่มีของไปฝากชาวบ้านเล็กๆ น้อยๆ เป็นการบอกว่าเราจะมารบกวนนะคะ ในช่วงอาทิตย์หนึ่ง พ่อใหญ่ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านพาพี่มาทำความรู้จักับพ่อและแม่ที่บ้านที่จะมาอยู่ด้วยที่บ้านนี้มีพ่อ แม่ พี่สาวสองคน และมีเด็กเล็กๆ อยู่สามคน ที่นั่นเรียกเด็กตัวเล็ก ว่าเด็กน้อย ส่วนใหญ่จะเรียกคนที่มีลูกแล้วว่าพ่อ แม่โดยเฉพาะคนที่มีอายุหน่อย ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ก็เรียกว่า พ่อใหญ่ แม่ใหญ่ จะมีแต่คนแก่และเด็กๆ ตามสภาพหมู่บ้านชาวอีสานทั่วไป โดยเฉพาะปีนี้เป็นปีที่แล้งฝน (หมายถึงฝนไม่ตกตามฤดูกาล ฝนตกมาล่าช้ามากค่ะ) คนหนุ่มสาวต่างก็ลงมากรุงเทพฯหางานทำกันทั้งนั้น

 

หมู่บ้านหนองแกเป็นหมู่บ้านที่เจริญมากพอสมควร มีไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้านที่เจริญมากพอสมควร มีไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้านหลายบ้านทีเดียวที่เป็นสมาชิกของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หลายบ้านมีโทรทัศน์ดูและเกือบทุกบ้านจะมีส้วมซึม ตอนแรกๆ ที่พี่ฮอทไลน์วาดภาพสภาพหมู่บ้าน ไม่คิดถึงว่าจะมีส้วมซึมเลยวาดแต่สภาพของส้วมหลุม ซึ่งมีแต่คนเล่าสู่กันฟังในแง่ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่พี่ก็เตรียมใจมาแล้วจึงออกจะแปลกใจอยู่ว่ามีส้วมซึมใช้ ซึ่งทำให้ความลำบากที่คิดไว้มาแต่ต้นได้หายไปมากกว่าครึ่งทีเดียว

 

                ที่บ้านที่พี่ฮอทไลน์ไปอยู่นะคะ เป็นบ้านที่มีฐานะค่อนข้างดีทีเดียว พ่อชอบดูข่าวโทรทัศน์ทุกวัน วันที่ไปถึงก็ตกใจเพราะที่บ้านมีคนมาชุมนุมกันเกือบ 20 คน มีตั้งแต่เด็กตัวเล็กตัวน้อยจนกระทั่งผู้ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยจนกระทั่งผู้ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นเด็กๆ เสียมากกว่าค่ะ ซึ่งตอนหลังพี่จึงเข้าใจว่าเป็นการชุมนุมกันอย่างนี้ทุกคืนเพื่อดูโทรทัศน์กันสำหรับบ้านเรือนไหนที่ไม่มีโทรทัศน์และอยู่ใกล้ที่บ้านนี้ ก็แวะมาดูโทรทัศน์อย่างนี้จนกว่าจะปิดโทรทัศน์แล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้านของตนไปนอน

 

                เช้าวันรุ่งขึ้น พี่ฮอทไลน์ตื่นแต่เช้ามืดจนแม่สงสัยว่าจะแปลกที่และคิดถึงบ้านจึงนอนไม่หลับ ต้องอธิบายกันเสียยกใหญ่ว่าเป็นเพราะนอนแต่หัวค่ำ จึงตื่นแต่เช้า และต้องใช้เวลาที่จะทำความเข้าใจกับพ่อและแม่พี่ๆ  ว่าเราอยู่กันแบบพวกเขา และไม่ต้องการทำอะไรพิเศษเพื่อพวกเรา เรากินกับข้าวและทำทุกอย่างได้

 

พี่ฮอทไลน์คอยสังเกตการทำงานของแม่เพื่อจะได้ช่วยแม่ทำได้แม่ตื่นเช้าจะหุงข้าว อ้อ !  นึ่งข้าวเหนียวค่ะ ต้องติดไฟก่อนโดยใช้กิ่งปอที่แห้งจุดไฟนะคะไม่ได้ใช้ขี้ไต้แบบที่ชาวกรุงเทพฯใช้ หรือใช้กระดาษขยุ้มๆ เป็นก้อนโตอย่างที่พี่ฮอทไลน์เคยทำเวลาก่อไฟ เขาจะมีไฟแช็คอันหนึ่ง (โอ้โฮ! พี่ฮอทไลน์เชยไปเลย เพราะพกไม้ขีดไฟไป) แต่ไฟแช็คเขามีไส้คล้ายไส้ตะเกียงเล็กๆ ดึงออกมา แล้วก็กดแช็ค…แช็ค สองทีไฟก็ติด และเวลาดับก็เป่าให้ดับคล้ายเทียนล่ะค่ะ พอไฟติดปอก็ใส่กิ่งไม้อื่นๆ ลงไปต้มน้ำ ใช้หวด (ที่นึ่งข้าวเหนียว) ใส่ข้าวดิบที่แช่ค้างคืนไว้แล้วลงไป จากนั้นก็เทข้าวที่เหลือค้างจากเมื่อคืนลงไปให้อยู่ตอนบน พอสุกได้ที่ก็เอาลงมาซุยข้าวที่บ่ม (บ่ม-เป็นลักษณะของแผ่นไม้ใหญ่ๆ กลมๆ มีด้ามถือนะคะ พี่ฮอทไลน์ว่าคล้ายไม้ตีปิงปองขนาดยักษ์ค่ะ) ซุยข้าวเพื่อให้ข้าวเย็นลงและไม่ติดกันเป็นก้อนแข็งจากนั้นจึงใส่กระติ๊บ สำหรับไว้กินต่อไป

 

                แรกๆ พี่ฮอทไลน์คิดว่าจะต้องพบกับอาหารแปลกๆ ที่ไม่เคยลองลิ้มชิมรสมาก่อนแต่พบว่าอาหารที่กินก็ไม่ต่างจากเราที่เคยกินเท่าไหร มีไข่เจียว มีแจ่ว ป่นปลา (คือเอาปลาไปต้มสุกแล้วบดเนื้อใส่พริก)มีผักรูปร่างต่างๆ ที่ลวกให้สุกแล้ว บางมื้อก็มีปลาร้าสับหรือปลาร้าทรงเครื่อง ใส่ทุกอย่างอะไรบ้างพี่ฮอทไลน์จำไม่ได้ แต่รสชาติอร่อยทีเดียว เพื่อนพี่ฮอทไลน์ตั้งใจจะมาลดความอ้วนเป็นอันต้องล้มเลิกเพราะอาหารที่นั่นต้องยอมรับว่า “แซ่บ” จริงๆ  การล้างชามของเขาไม่ต้องใช้ผลซักฟอก หรือที่พวกเราเรียกกันติดปากว่า  "แฟ็บนั่นแหล่ะ น้องๆ อาจคิดว่า แหม…สกปรกจังเลย แต่เพราะเขาไม่กินของที่มีน้ำมันหรือกินแต่น้อยมาก และการใช้น้ำที่นั่นต้องประหยัดเพราะไม่มีน้ำประปาไปถึง ใช้น้ำฝนหรือน้ำตามห้วยหนองต่างๆ ถ้าใช้ผงซักฟอกต้องใช้น้ำล้างกันมากเปลืองพอควร…พูดถึงน้ำฝน ถ้าหน้าฝนการอาบน้ำและใช้น้ำจะเป็นน้ำฝน น้ำที่ใช้ดื่มก็เป็นน้ำฝนและแช่ในโอ่งดิน ซึ่งเย็นอยู่เป็นธรรมชาติ จึงไม่ต้องใช้ตู้เย็นไงคะ ผักต่างๆ ก็เก็บกันสดๆ กินกันมื้อนั้น พี่ฮอทไลน์ยังไปเก็บผักบุ้งที่นาของพ่อ เกือบจมน้ำค่ะ เปียกซะค่อนตัวทีเดียวแต่สนุกมากค่ะ

 

                ปีนี้เป็นปีที่ฝนแล้งอย่างที่พี่บอกให้น้องๆ ทราบแต่ข้างต้น ฉะนั้นต้นกล้าที่เพราะไว้ส่วนใหญ่ตายหมด มีเพียงบางบ้านเท่านั้นที่ทำนาและเริ่มดำนาในตอนนี้ ซึ่งเมื่อพี่ถามแม่ดู แม่บอกว่ามันเป็นการเสี่ยงมาก บ้านแม่จึงไม่ทำนาในปีนี้ ที่ว่าเสี่ยงเพราะจะเข้าฤดูแล้งแล้ว ฝนอาจตกเพียงช่วงนี้และจะไม่ตกเลยก็เป็นได้ จึงเป็นการเสี่ยงมากที่จะดำนาในตอนนี้ บ้านที่ไม่มีการทำนาก็พาควายไปกินหญ้าที่ทุ่งนาของตน บ้านที่เลี้ยงตัวไหมก็เลี้ยงกันไป อย่างบ้านนี้ก็เลี้ยงไหม ตอนแรกที่พี่ฮอทไลน์เห็นตัวหนอนของไหม พี่กลัวมากน้องลองนึกภาพถึงกระด้งขนาดใหญ่พอควรข้างในมีตัวหนอนขาวๆไต่เลื้อยกันยั้วเยี้ยไปหมด แม่ที่บ้านจับให้ดูตัวหนอนที่เสียคือตัวที่ไม่ชักใยทำรัง ซึ่งจะเป็นตัวสีเหลืองอ่อนๆ ตัวอื่นสีขาว พี่ฮอทไลน์ครั้งแรกไม่กล้าจับ แต่พอไปๆ มาๆ ก็จับได้และช่วยเขาเก็บใบหม่อนมาเลี้ยงตัวไหม ตัวไหมตอนเล็กๆ ต้องกันแมลงวันมาตอมนะคะไม่เช่นนั้นก็ตายหมด น้องๆ เชื่อไหมคะตัวไหนนี่ตอนเป็นหนอนขนาดใหญ่กินจุจริงๆ พี่ไปเก็บใบหม่อนได้ 1 กระด้งเต็มๆ จนล้นต้องเอาผ้ามาห่อส่วนที่ล้นออกมา แต่พอน้ำไปเลี้ยงตัวหนอนไหมเพียงครั้งเดียว (มี 4-5 กระด้ง) หมดเกลี้ยงในพริบตา ใบหม่อนที่เก็บมาแม่บอกพี่ว่าต้องเอาใบแก่ๆ ถ้าใบอ่อนจะทำให้ตัวไหมอ้วนและไม่ยอมทำรังค่ะ พอตัวไหมสุกหรือตัวออกสีแดงๆ มันจะไม่กินใบหม่อนอีก จะย้ายตัวไหมไปที่กระด้งอันใหญ่ที่มีหวายกั้นเป็นวงๆ เพื่อให้ตัวไหมทำรังกันในนั้น รังไหมจะเป็นสีเหลืองทองเต็มไปหมด จากนั้น 2-3 วันก็นำมาต้มและสาวไหมใยไหมจะพันกันเป็นเส้นๆ ออกมาเป็นเส้นไหมที่เราใช้ทอผ้าไหมกันค่ะ พี่ฮอทไลน์กับเพื่อนก็ไปช่วยแม่สาวไหมด้วย แต่แม่สามารถทำคนเดียวได้ พวกเราทำกันตั้ง 2-3 คน เปลืองแรงงานมากจริงไหมคะ พอไหมสีเหลืองออกจากตัวไหมหมดจะเห็นตัวดักแด้ขาวๆ ข้างในกินได้นะคะ (เพราะต้มแล้ว) ลักษณะคล้ายข้าวโพด รสชาติมันๆ อร่อยดี แต่ถ้ากินมากๆจะท้องเสียได้นะคะ

 

                ที่หมู่บ้านในช่วงฤดูฝน จะการไปเก็บเห็นตามภูเขาเล็กๆ ที่เดินไปจากหมู่บ้านประมาณ 15 กิโลเมตร ไปกลับ 30 กิโลเมตรใช้เวลาเกือบทั้งวัน ชาวบ้านจะสวมเสื้อแขนยาวใส่งอบกันไป ขนาดแม่บางคนที่อายุค่อนข้างมาก ผอมๆ ยังไปด้วยเลย พี่ฮอทไลน์ก็ลุยไปกับเขาด้วยเช่นกัน เราออกจากบ้านตั้งแต่ก่อน 7 โมงเช้า เดินไปเรื่อยๆ บางทีต้องถอดรองเท้า เพราะต้องลุยน้ำ ย่ำโคลนไปตลอดทาง สนุกสนานกันใหญ่ พอถึงเชิงเขาซึ่งเขานี้เรียกกันว่า “โคกกระแต” พวกชาวบ้านที่ไปด้วยจะมองเห็นเห็ดและเก็บกันใหญ่ แต่พวกพี่นะคะพยายามมองหาเท่าไรก็หาไม่เจอ มีพี่ชี้ให้ดูให้ไปเก็บ เราจ้องมองกันอยู่นานกว่าจะหาพบ พี่ฮอทไลน์ว่าถ้าเราต้องไปอาศัยการเก็บเห็ดเพื่อใช้กิน่ะก็พวกเราต้องอดตายไปตามๆ กันแน่ๆ เลยเก็บเห็นได้เหมือนกันนะคะ แต่เป็นเห็ดที่กินไม่ได้ เสียท่าน่าดู แม่ที่ไปด้วยเก็บได้มากกว่าใครเลยค่ะ น้องๆ คิดดูซิคะว่าเขาแข็งแรงแค่ไหน เห็นที่นี่ลักษณะแปลกๆ เป็นสีแดงบ้าง สีขาวบ้าง สีน้ำตาลบ้าง สีเหลืองก็ยังมีค่ะ แต่กินได้ อยู่ตามซอกไม้ใหญ่หรือใต้พุ่มไม้เล็กๆ ต้องอาศัยการสังเกตมากๆพอควรกว่าจะเห็นได้ แต่พวกพี่นะคะมองดูแต่พื้นดินข้างหน้าเพราะกลัวลื่นหกล้ม หรือหนามตำจึงไม่ได้ดูรอบๆ ข้างเลยค่ะ จึงเก็บเห็นได้น้อยก็เป็นได้นะคะ (เป็นข้อแก้ตัวเล็กน้อยค่ะ) พอถึงยอดของโคกกระแต เป็นที่ตั้งของวัด มีธงสีเหลืองปักอยู่สูงมองเห็นแต่ไกลเชียวพวกเราพักกินข้าวกลางวันแล้วจึงพากันเดินกลับลงมา กลับถึงบ้านประมาณบ่าย 2 ดมงกว่าเข้าไปแล้ว บ่นปวดเมื่อยกันยกใหญ่ พี่ฮอทไลน์ร้อนค่ะเลยใส่เสื้อแขนสั้นปรากฎว่าตัวแดงไปหมดเพราะผิวไหม้แดดคนอื่นไม่ดำเท่าพี่หรอกค่ะ แต่เป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมที่สุด เพราะพี่ฮอทไลน์เป็นคนชอบเดินป่าอยู่แล้วจึงสนุกไปหมด แต่มีบางคนที่หน้ามุ่ย ทำหน้าเข็ดไปนานก็มีนะคะ

 

                พอตกเย็นหลังจากกินข้าวเย็นกันแล้วถ้าฝนไม่ตก พวกเราจะเล่นกับเด็กๆ เด็กๆ ติดเรามาก มีตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียนจนกระทั่งจบ ป. 6 แล้ว เราเล่นเกมส์ , ร้องเพลง สนุกกันใหญ่จะเสียงแหบแห้งไปตามๆ กันหรือบางวันหลังจากเด็กๆ กลับจากโรงเรียนช่วยพ่อแม่ทำงานเรียบร้อยแล้ว ก็จะไปเล่นน้ำที่ห้วยกัน ห้วยนี้อยู่ใกล้ๆ กับนา ต้องเดินออกไปไกลพอควรน้ำเย็นมาก พี่ฮอทไลน์ฟันกระทบกันดังกึกๆ เลยค่ะ เด็กๆ ว่ายน้ำกันเก่ง ทั้งๆที่พี่ยังยืนไม่ถึงเลยนะคะ น้ำเย็นนี่ว่ายได้เหนื่อยง่ายมาก อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าไม่รัดกุมสะดวกดังที่เราว่ายน้ำในสระก็เป็นได้นะคะ หลังจากเล่นน้ำในสระก็เป็นได้นะคะ หลังจากเล่นน้ำแล้วก็กลับมายังหมู่บ้าน เด็กๆ จะไม่อาบน้ำกันอีกเพราะถือว่าไปอาบที่ห้วยก็คือการอาบน้ำ

 

                ที่นี่กลางคืนเงียบมาก บ้านไหนไม่มีโทรทัศน์จะเข้านอนแต่หัวค่ำ มืดสนิทจริงๆ มีคนบอกพี่ว่ากลางคืน "ม้ลืมตาก็เหมือนหลับตา” ซึ่งพี่ฮอทไลน์ว่า…เขาพูดได้เข้าทีทีเดียวเพราะจริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น ต้องเอาไฟฉายติดตัวตลอดเวลาเลยค่ะ วันแรกๆ ไม่กล้าไปไหนเพราะกลัวหลงทางหาบ้านตัวไม่เจอแต่พอหลังๆ คุ้นมากขึ้นไปไหนก็ได้สบายมาก

 

                ที่หมู่บ้านนี้ไม่มีโรงเรียน เด็กๆ ต้องรีบตื่นแต่เช้าเดินไปโรงเรียนที่หมู่บ้านถัดไปวันก่อนที่พวกเราจะกลับไปรับเด็กๆ มาจากโรงเรียน และวันที่จะกลับก็ไปส่งเด็กๆ ที่โรงเรียนกัน มีการร้องเพลงอำลา เด็กหลายคนถึงกับร้องไห้ บางคนบอกพี่ฮอทไลน์ว่าอย่ากลับเลย ถ้าพี่ฮอทไลน์อยากกินอะไรเขาทำไม่เป็นจะไปหาซื้อมาให้บางคนบอกว่าจะจับพวกเราไปขังไว้ในยุ้งข้าวจะหาแม่กุญแจมาใส่ไว้ และเก็บกุญแจไว้กับตัวเพื่อไม่ให้พวกเรากลับไป จะปล่อยออกมาเมื่อพวกเด็กๆ กลับจากโรงเรียนเท่านั้น พี่ฟังแล้วน้ำตาซึมทีเดียว เด็กๆ ทุกคนน่ารักกันมากแม้จะตัวเล็กก็มีความรับผิดชอบนะคะ ในหมู่บ้านจะไม่มีการตีหรือดุด่าจากผู้ใหญ่เลย ทุกคนจะรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งพี่ฮอทไลน์หวังให้น้องๆ ทุกคนเป็นคนดี เชื่อฟังพ่อแม่เช่นกันนะคะ

               

คืนก่อนจะกลับ ชาวบ้านได้จัดพิธีบายศรีสู่ขวัญให้พวกเรา เป็นพิธีที่ซึ้งมากแม่เฒ่าหลายคนถึงกับร้องไห้ พวกเราทุกคนก็พลอยร้องไห้ไปด้วย เป็นพิธีที่พี่ฮอทไลน์คงจะจดจำภาพต่างๆ ไปตราบนานเท่านานทีเดียวค่ะ

 

                วันกลับพวกเราก็ร่ำลาพ่อแม่ พี่ๆ มีเด็กๆ หนีโรงเรียนมาส่งพวกเราด้วย เรากลับไปด้วยความอาลัยทีเดียว แต่พอเข้ามายังตัวเมืองพวกเราก็สนุกสนานได้เช่นเดิมแต่สำหรับพี่ฮอทไลน์ การเข้าค่ายครั้งนี้แม้เป็นเพียง 1 สัปดาห์ก็ตาม แต่เป็นสิ่งที่พวกเราคงไม่ได้พบกับน้ำใจอันดียิ่งและอัธยาศรัยไมตรีที่งดงามมากเช่นนี้ในกรุงเทพฯ หมู่บ้านหนองแก เป็นสภาพหมู่บ้านที่น่าทะนุถนอมไว้ให้มากที่สุด เพื่อความทรงจำอันงดงามของชนรุ่นหลังต่อไป

 

                เสียงเงียบสงัดค่อยๆ หายไป เสียงอึกทึกครึกโครมกลับเข้ามาแทนที่ ความมืดดำสนิท ก็ถูกทดแทนด้วยแสงสีต่างๆ ในกรุงเทพฯ เรากลับมาจากค่ายกันแล้วค่ะ น้องๆ คิดว่าเป็นอย่างไรบ้างคะ เขียนจดหมายมาคุยกันบ้างนะคะ วันนี้สวัสดีค่ะ

 

                                                 *   *    *    *    *    *    *    *   *

 

 

 
 
  Counter 203,770
 
 
© 2012 Thaiteenline. All Rights Reserved. หน้าหลัก | ความเป็นมา | กฎหมายเด็กและครอบครัว | วัยรุ่นอยากรู้ | บทความวัยรุ่น | ฮอทไลน์เคลื่อนที่ | ติดต่อเรา