บทความ 2 ครูขา...พ่อแม่ไม่รักค่ะ
ครูขา…พ่อแม่ไม่รักหนูค่ะ
เช้าวันนี้อากาศสดชื่นแจ่มใส ดิฉันยังคงตื่นเช้าปกติ แม้ว่าฝนที่พรำ ๆ มาทั้งคืนนั้นจะชักชวนให้นอนต่อแค่ไหน แต่เมื่อนึกถึงว่าตื่นสายรถติดแล้ว ใคร ๆ ก็คงรีบตื่นแต่เช้าเพื่อรีบมาทำงานกันใช่ไหมคะ ? ดิฉันนั่งรถเมล์จากชานเมืองเข้ามากรุงเทพฯ ให้สูดกลุ่มไอผืนดิน ได้สัมผัสขอบฟ้าแดงระเรื่อพร้อมที่จะต้องรับดวงอาทิตย์ดวงโตที่โผล่พ้นขึ้นมาอีกในไม่ช้าทำให้มีส่วนสร้างสุขภาพจิตที่ดีได้อย่างมากทีเดียว
ดิฉันถึงโรงเรียนเช้ากว่าปกติเล็กน้อย เพราะต้องไปต้อนรับเด็กเข้าโรงเรียนที่ประตูหน้า ดิฉันเดินช้า ๆ คุยกับเด็กไปตามเส้นทาง โดยปกติแล้วดิฉันจะใช้เวลาว่างอยู่กับเด็กเสมอ ดูเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้จักพฤติกรรมที่แท้จริงของเด็กแต่ละคนได้ เพื่อนครูหลายคนเย้าแหย่ดิฉันว่าจะหาเสียงกับเด็กหรือไง ดิฉันได้แต่ยิ้มรับและตอบว่ามันเป็นนาทีทองของการสร้างความสัมพันธ์ทีเดียวแหละ !
“คุณครูแนะแนวขา สวัสดีค่ะ” เสียงเล็ก ๆ แจ่มใส ทำให้ดิฉันสะดุ้งเล็กน้อยและแปลกใจมากขึ้นเมื่อเหลียงไปพบหน้าคนพูด หนูจุ๋มเด็กหญิงวัย 8 ขวบ รูปร่างอ้วนกลม ผิวขาว ปกติจะมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่เสมอ พูดน้อย มีแต่ดวงตาเท่านั้นที่บอกถึงความไวในการรับสิ่งเร้าต่าง ๆ
“สวัสดีค่ะ หนูจุ๋ม วันนี้มาโรงเรียนแต่เช้าหน้าตาแจ่มใสเชียว มีข่าวดีอะไรมาบอกครูหรือคะ ?” ดิฉันยอมเรียกชื่อเล่นของลูกศิษย์ตามประเพณีนิยมที่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม และต้องยอมให้ลูกศิษย์เรียกชื่อ “ครูแนะแนว” แทนชื่อจริงที่มีอยู่ ตามความนิยมของเด็กอีกเหมือนกันที่เรียกครูตามวิชาที่สอน
“คุณครูแนะแนวขา วันนี้จุ๋มมาโรงเรียนกับคุณน้าข้างบ้าน เพราะคุณพ่อไปหาคุณแม่ที่โรงพยาบาล คุณแม่มีน้องค่ะ” แล้วดวงตากลมโตคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิดเหมือนเดิม
“ครูดีใจกับจุ๋ม จุ๋มคงภูมิใจมากนะคะที่ได้เป็นพี่”
“จุ๋มไม่ทราบ คุณพ่อคุณแม่คงรักน้องมากกว่าจุ๋ม” น้ำเสียงแสดงความน้อยใจปนความไม่พอใจ
“คุณพ่อคุณแม่รักน้องค่ะ และก็รักจุ๋มมากเท่ากัน เพราะทั้งสองคนก็เป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ ครูมีลูกศิษย์หลาย ๆ คนและครูก็รักลูกศิษย์ของครูเท่ากันทุกคน ตอนนี้จุ๋มมีน้องหนึ่งคน จุ๋มก็ต้องรักน้อง ต่อไปจุ๋มอาจจะมีน้องหลายคน จุ๋มก็จะรักน้องทุกคนเท่ากัน” ดิฉันพยายามอธิบายการกระจายความรักให้เธอฟังเด็กน้อยยิ้มออก ยกมือไหว้ดิฉันและเดินกลับไปเล่นกับเพื่อนเหมือนเดิม
ดิฉันไม่คิดว่าคำพูดของดิฉันเพียงสองสามประโยค จะสร้างความเข้าใจอะไรให้เด็กมากมายนัก แต่ดิฉันคิดว่า การรองรับอารมณ์ของเด็กด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นเป็นสิ่งที่จำเป็น ก่อนที่อารมณ์นั้นจะผ่านเลยไปหรือถูกเก็บกดลง และจำเป็นมากสำหรับครูแนะแนวที่จะฉวยโอกาสแจกจ่ายความรู้สึกที่ดีให้กับคนที่เกี่ยวข้อง โดยไม่คิดว่าจะเกิดผลเมื่อไร หรืออย่างไร
ดิฉันเดินมาถึงประตูหน้า เมื่อเด็กนักเรียนทยอยเดินเข้ามาในโรงเรียนมากขึ้น ทุกคนต่างก็เดินผ่านดิฉัน เอากระเป๋าหนังสือวาง ยกมือไหว้และเดินเข้าโรงเรียน ทุกคนปฏิบัติเหมือนกันหมด แต่วิธีการทำ แววตา สีหน้า ความคิดเท่านั้นที่แตกต่างกันออกไป ดิฉันเคยคิดเลยเถิดไปว่าหากครูที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่สนใจการแสดงความเคารพของเด็ก ยืนหันหลังให้หรือยืนคุยอย่างสนุกสนานกับเพื่อนครู เด็กจะยังคงแสดงความเคารพครูแบบนี้อยู่หรือเปล่า ? คงจะเหมือนเดิมนะ เพราะยังไง ๆ เด็กก็ยังถือว่าครูเป็นปูชนียบุคคลเสมอ ดังนั้นการที่ครูไปยืนต้อนรับเด็กเข้ามาในโรงเรียนครูหลายคนยังมีความคิดว่า “ฉันหลีกเลี่ยงหน้าที่นี้ไม่ได้นี่นะ !” โดยละเลยบทบาทของความเป็นครูในการสร้างภาพพจน์ที่ดีกับเด็กไปอย่างน่าเสียดาย
“สวัสดีค่ะ กุ๊กกิ๊ก” ดิฉันเอ่ยทักกุ๊กกิ๊กเด็กหญิงวัยแปดขวบ เช้าวันนี้เหตุการณ์ผิดธรรมดาได้เกิดขึ้น กุ๊กกิ๊กเดินหิ้วกระเป๋าหนังสือมาเองจนไหล่เอียงไปข้างหนึ่งด้วยความหนัก หน้าตาบูดบึ้ง นัยน์ตามีน้ำตาซึม
“คุณแม่ไม่มาส่งหรือคะ” ดิฉันถามด้วยความสงสัย แต่พูดด้วยเสียงธรรมดา เพราะปกติคุณแม่จะหิ้วกระเป๋า กระติกน้ำ ฯลฯ มาส่งกุ๊กกิ๊กถึงห้องเรียน
“กิ๊กบอกคุณแม่ว่า คุณแม่ไม่ต้องมาส่งคุณแม่ไม่ต้องเข้ามาในโรงเรียน กิ๊กหิ้วกระเป๋ามาเอง เพราะวันนี้คุณแม่แต่งตัวไม่สวย คุณแม่ไม่ยอมใส่แหวนเพชรมา !” กุ๊กกิ๊กเชิดหน้าจีบปากจีบคอรายงาน
“ครูคิดว่า…กิ๊กคงมีเรื่องคุยให้ครูฟังอีกเยอะแยะ หนูมาคุยกับครูที่ห้องแนะแนวได้ไหมค่ะ?”
“ได้ค่ะ” กุ๊กกิ๊กรับปากรับคำอย่างเต็มใจที่จะเล่าวีรกรรมที่ตนเองภูมิใจ
เที่ยงวันนั้น ดิฉันได้คุยกับกุ๊กกิ๊กอีก เธอเล่าว่า “กิ๊กโกรธกับคุณแม่ตั้งหลายเรื่องนะคะ คือ คุณแม่ไม่ยอมตัดเสื้อสวย ๆ ใส่มาอวดเพื่อนที่โรงเรียน กิ๊กอายเพื่อนค่ะ เมื่อวานนี้ แอปเปิ้ล เขาบอกว่าวันนี้คุณแม่ของเขาจะใส่แหวนเพชรมาด้วย จุ๊บแจงเขาก็มีคนขับรถคันยาว ๆ มาส่งเขาบอกว่าที่บ้านเขามีรถเก๋งตั้งหลายคันแน่ะค่ะ เขาเอาของขวัญมาให้คุณครูบ่อย ๆ ด้วยคุณครูรักจุ๊บแจงมากนะคะ กิ๊กเห็นคุณครูหอมแก้มจุ๊บแจงด้วย คุณครูให้จุ๊บแจงมารับคุณครูไปเที่ยวที่บ้านตอนวันเกิดคุณครู เพื่อน ๆ เขาบอกให้คุณแม่เอาของขวัญมาให้คุณครู กิ๊กบอกคุณแม่แล้ว คุณแม่ก็เฉย ๆ กิ๊กของอะไรคุณแม่ก็ไม่ให้คุณแม่พูดแต่ว่าไม่จำเป็น ไม่จำเป็น คุณครูประจำชั้นกิ๊กแต่งตัวสวยนะคะ ใส่กำไล ใส่ตุ้มหู คุณครูมีตุ้มหูเยอะแยะเลยค่ะ คุณครูสอนศิลปะเป็นคนเอามาขาย คุณครูซื้อเงินผ่อนด้วยค่ะ วันนั้น คุณครูใหญ่ว่าคุณครูว่าแต่งมากไปไม่เหมาะสมจะเป็นครู ครูกิ๊กโมโหใหญ่เลยค่ะ ทำหน้าบึ้งทั้งวัน เพื่อนกิ๊กถูกตีหลายคนด้วย !” กุ๊กกิ๊กช่างเล่าเรื่องต่าง ๆ ของครู จากเรื่องนี้ไปเรื่องโน้นอย่างชื่นชมด้วยความไร้เดียงสา เธอรับทัศนคติในการดำรงชีวิตจากครูประจำชั้นที่คลุกคลีอยู่ด้วยวันละแปดชั่วโมง โดยที่ครูไม่ต้องสอน การกระทำของครูสอนได้ดีกว่า !
“กุ๊กกิ๊กจ๊ะ ครูยังสนใจคุณแม่ของกิ๊ก คุณแม่คงเสียใจนะคะที่กิ๊กทำกับคุณแม่อย่างนี้”
“คุณแม่ไม่เสียใจหรอกค่ะ คุณแม่มีเรื่องอื่นอีกเยอะแยะที่ต้องทำที่ทำงาน ตอนเย็นคุณแม่ก็เอางานมาทำอีก คุณแม่ไม่มีเวลาว่างนะค่ะ กิ๊กจะไปถามการบ้านคุณแม่ คุณแม่ก็ให้กิ๊กไปหาพี่นวล พี่นวลก็ไม่ทราบ เพราะพี่นวลเรียนจบแค่ ป. 6 บางครั้งพ่อก็สอนกิ๊ก แต่คุณพ่อก็ต้องทำงานเหมือนกัน ทำงานกันหมด กิ๊กไม่รู้จะคุยกับใครทำไมทุกคนต้องทำงานกันจนไม่มีเวลาไปเที่ยวกัน ที่โรงเรียนกิ๊กยังได้เล่นกับเพื่อน ยังได้คุยกับครู” กุ๊กกิ๊กมีน้ำเสียงตัดพ้อ บอกความต้องการส่วนลึกของจิตใจ
“เดี๋ยวก่อน ครูถามกิ๊กก่อนว่า กิ๊กรักคุณพ่อคุณแม่ไหมคะ ?”
“กิ๊กรักทั้งคุณพ่อคุณแม่ค่ะ รักเท่ากันเลย” น้ำเสียงดีขึ้น
“ครูก็คิดว่าคุณพ่อคุณแม่ก็รักกิ๊กเหมือนกันเพราะไม่มีพ่อแม่ที่ไหนที่ไม่รักลูกของตัวเองยิ่งกิ๊กเป็นลูกคนเดียว คุณพ่อคุณแม่ยิ่งรักมาก ครูอยากให้กิ๊กมองเห็นว่าที่คุณพ่อคุณแม่ทำงานหนัก ก็เพราะเป็นห่วงอนาคตของลูก จะต้องหาเงินเก็บเอาไว้ให้ลูกเรียนหนังสือ ตอนนี้กิ๊กยังเด็กอยู่ก็ต้องมีหน้าที่เรียนหนังสือและเป็นเด็กดี เด็กน่ารัก ไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่หนักใจ กิ๊กทำไม่ถูกต้องนะคะที่แสดงกิริยาไม่น่ารักกับคุณแม่เมื่อเช้านี้ กิ๊กควรกลับไปขอโทษคุณแม่” ดิฉันพูดอย่างจริงใจเพื่อจะสื่อให้เห็นอย่างตรงไปตรงมาในเหตุผลที่เด็กสมควรจะรับได้
“คุณแม่กิ๊กก็ทำหน้าจะร้องไห้ บอกว่าแม่เสียใจที่ลูกแม่เป็นอย่างนี้ แม่ต้องจัดการกับชีวิตตัวเองใหม่แล้ว กิ๊กยังไม่รู้เรื่องคุณแม่เลยค่ะ” เด็กหญิงเล่าอย่างพาซื่อ
“ถ้ากิ๊กโตขึ้น หนูจะเข้าใจนะคะ ตอนนี้ครูอยากให้กิ๊กเข้าใจว่า เด็กดี เด็กน่ารักนั้นคือ เด็กที่ร่าเริงแจ่มใส ช่วยเหลือทุกคน เป็นเพื่อนกับทุกคน เรื่องการแต่งตัว ความสวย ความรวย ยังไม่ใช่เรื่องที่กิ๊กจะต้องคิดถึงในตอนนี้ หนูยังมีโอกาสอีกมากเมื่อหนูโตขึ้น หากกิ๊กมีเงินมาก ๆ แต่กิ๊กเรียนหนังสือไม่เก่งและไม่มีเพื่อน กิ๊กก็จะไม่มีความสุขใช่ไหมค่ะ ? คุณชมกิ๊กนะคะว่ากิ๊กเป็นเด็กน่ารัก ไม่ต้องมีคุณแม่ใส่แหวนเพชรมาอวดหรือเอาของขวัญมาให้คุณครู คุณครูและเพื่อนก็รักหนูอยู่แล้ว และถ้ากิ๊กอยากให้ใครรัก กิ๊กก็ทำดีกับเขาสิคะ”
“ก็ได้ค่ะคุณครู เย็นนี้ กิ๊กจะไปขอโทษคุณแม่”
“ค่ะดีแล้ว”
รุ่งขึ้นกุ๊กกิ๊กวิ่งเข้ามาหาดิฉัน ในขณะที่ดิฉันอยู่ท่ามกลางเด็กอีกหลาย ๆ คน
“คุณครูแนะแนวขา กิ๊กคืนดีกับคุณแม่แล้ว คุณแม่บอกว่าคุณแม่จะมาหาคุณครูด้วย ต่อไปนี้คุณแม่บอกว่าคุณแม่จะช่วยกิ๊กทำการบ้าน วันหยุดเราจะไปเที่ยวด้วยกันด้วย” เสียงนั้นแจ่มใสร่าเริง พร้อมกับการวิ่งจากไปอย่างมีความสุข
เรื่องของกุ๊กกิ๊กคงจะไม่จบลงง่าย ๆ เพราะเป็นขบวนการเติบโตของเด็ก เราคงต้องประสานความร่วมมือกันต่อไป ระหว่างผู้ปกครองครูประจำชั้น ครูแนะแนว
อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ที่ต้องทำงาน ไม่มีเวลาที่จะอบรมดูแลลูกก็ยังคงมีอยู่เสมอ ครูที่ต้องการผลประโยชน์จากการมีอาชีพครูทั้งทางตรงและทางอ้อมก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน แต่สิ่งที่ดิฉันอยากจะขอหยิบยกมากล่าวในทีนี้ ในฐานะที่รับฟังปัญหาของครูเด็กและพ่อแม่มาตลอดว่า ครูเป็นผู้มีอิทธิพลต่อเด็กมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กสิ่งที่เขาได้รับการอบรมจากครู ไม่เพียงแต่สิ่งที่ครูสั่งสอนเท่านั้นแต่เป็นสิ่งที่ครูปฏิบัติด้วย
ผลเสียที่เกิดขึ้นนั้นจะออกมาในรูปแบบของการสะสมข้อมูล เราไม่มีโอกาสทราบได้เลยว่าความคับข้องใจต่าง ๆ ของเราที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีแรงกระตุ้นมาจากค่านิยมด้านลบต่าง ๆ ในอดีตที่สร้างสมมาจากโรงเรียน ในขณะเดียวกันหลายคนก็มักพูดเสมอว่า ที่เขาเป็นคนดีมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีครูดี.
|